กลุ่ม 2 เช็กสิทธิ เราชนะ ได้แล้ววันนี้
เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ชาวเน็ตต่างให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมาก เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 63 สำหรับผู้ที่ได้ลงโครงการ เราชนะ รับเงิน 3,500 บาท นาน 2 เดือน รวมเป็น 7,000 บาทใช้จ่ายในร้านค้าที่ร่วมโครงการนั้น กลุ่มที่ 1 ผู้มีบัตรสวสัดิการแห่งรัฐ เงินเข้าและสามารถใช้จ่ายได้แล้ว
ขณะที่กลุ่มที่ 2 กลุ่มผู้ที่มีแอปพลิเคชัน เป๋าตัง ซึ่งเคยร่วมโครงการอื่นของรัฐและมีฐานข้อมูลใน G-Wallet อยู่แล้ว เช่น คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน และ ยืนยันตัวตน ใน G-Wallet สำเร็จภายในวันที่ 27 ม.ค.64 ที่ผ่านมา ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ ภาครัฐตรวจสอบเงื่อนไขและได้รับสิทธิสามารถกดยืนยันในแอปฯ เป๋าตังได้เลย โดยสามารถเช็กสิทธิได้แล้ววันนี้ 5 ก.พ.64 ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ .com
โดยกลุ่มที่ 2 จะได้รับสิทธิ “เราชนะ” หากมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขเหล่านี้
1.ผู้มีสัญชาติไทย อายุ 18 ปีขึ้นไป
2.ไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ว่าด้วยกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม
3.ไม่เป็นข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ
4.ไม่เป็นข้าราชการการเมือง
5.ไม่เป็นผู้รับบำนาญหรือเบี้ยหวัดจากส่วนราชการ
6.รายได้พึงประเมินในการเสียภาษี ไม่เกิน 300,000 บาท
7.ผู้มีรายได้สูง มีเงินฝากทุกบัญชีรวมกันไม่เกิน 500,000 ตามฐานข้อมูลที่มีล่าสุด
ทั้งนี้จากการตรวจสอบสิทธิในวันนี้ พบประชาชนแจ้งปัญหาคือไม่ได้รับสิทธิเนื่องจากเข้าข่ายพึงประเมินในการเสียภาษี ไม่เกิน 300,000 บาท โดนอ้างอิงฐานภาษีในปี 2562 ทำให้มีหลายคนพลาดไม่ได้รับสิทธิ เนื่องจากในปี 62 cv ยังไม่มีการระบาด ทำให้ยังทำงานได้ตามปกติ แต่หลายคนต้องออกจากงาน โดนลดเงินเดือน ขาดรายได้ในปี 63 ซึ่งเป็นปีที่มีcv ขณะที่บางคนก็ไม่มีประกันสังคม เนื่องจากออกจากงานและตกงานในช่วงนี้
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ น.ส.กุลยา ตันติเตมิทvผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สำหรับเกณฑ์ผู้ได้สิทธิของโครงการเราชนะ ข้อที่ระบุว่า ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 300,000 บาท โดยใช้ฐานข้อมูลปีภาษี 2562 เนื่องจากในขณะนี้ข้อมูลของปีภาษี 2563 ยังอยู่ในขั้นตอนของการยื่นการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จึงยังไม่มีฐานข้อมูลของปีภาษี 2563 ที่ครบถ้วน
ส่วนที่กำหนดเกณฑ์ผู้ได้รับสิทธิต้องมีรายได้ไม่เกิน 300,000 บาทต่อปีนั้น เนื่องจากในโครงการจะดูถึงความสามารถและศักยภาพที่มีทางด้านรายได้ ดังนั้นผู้ที่มีรายน้อยกว่า 300,000 บาทต่อปี (ประมาณไม่เกิน 25,000 ต่อเดือน) จึงเป็นผู้ที่ควรได้รับความช่วยเหลือในส่วนนี้